1. การเตรียมพื้นที่ก่อสร้างและการกำหนดตำแหน่ง เสาเข็มเจาะ ด้วยความแม่นยำสูงสุด: ก่อนเริ่มต้นกระบวนการเจาะเสาเข็มแห้งด้วยเครื่องจักรสามขา สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือการเตรียมพื้นที่ก่อสร้างให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติงาน พื้นที่ต้องได้รับการปรับระดับ กำจัดสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ออกไป เพื่อให้เครื่องจักรสามขาสามารถเคลื่อนที่และทำงานได้อย่างสะดวกและปลอดภัย จากนั้น ทีมสำรวจที่มีความเชี่ยวชาญจะดำเนินการวางผังและกำหนดตำแหน่งของเสาเข็มแต่ละต้นตามแบบก่อสร้างอย่างแม่นยำ โดยใช้เครื่องมือสำรวจที่ทันสมัย เช่น กล้อง Total Station เพื่อให้มั่นใจว่าตำแหน่งของเสาเข็มทุกต้นถูกต้องตามพิกัดที่กำหนด การกำหนดตำแหน่งที่แม่นยำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของโครงสร้างอาคาร เนื่องจากเสาเข็มจะต้องรับน้ำหนักและถ่ายเทลงสู่ชั้นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากตำแหน่งคลาดเคลื่อน อาจส่งผลเสียต่อการกระจายน้ำหนักและเสถียรภาพของอาคารในระยะยาว นอกจากนี้ การกำหนดตำแหน่งที่ถูกต้องยังช่วยให้การก่อสร้างส่วนอื่น ๆ ของอาคารเป็นไปตามแผนและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
2. การติดตั้งเครื่องจักรเสาเข็มเจาะสามขาและอุปกรณ์ประกอบอย่างมั่นคงและได้มาตรฐาน: เมื่อพื้นที่ก่อสร้างพร้อมและตำแหน่งเสาเข็มถูกกำหนดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำเครื่องจักรเจาะสามขา (Tripod Piling Rig) มาติดตั้ง ณ ตำแหน่งที่จะทำการเจาะ เครื่องจักรสามขานี้มีลักษณะเด่นคือมีขาค้ำยันสามขาที่สามารถปรับระดับได้ ทำให้มีความมั่นคงสูงในการทำงาน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสภาพดินไม่สม่ำเสมอ การติดตั้งเครื่องจักรจะต้องดำเนินการโดยผู้ที่มีความชำนาญ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องจักรตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ได้ระดับ และมีความมั่นคงเพียงพอต่อการรับแรงในการเจาะ นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งอุปกรณ์ประกอบอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น ชุดกระแทก (Hammer) ซึ่งมีหลากหลายประเภทและน้ำหนัก ขึ้นอยู่กับสภาพดินและความลึกของเสาเข็มที่จะเจาะ หัวเจาะ (Chisel หรือ Auger) ที่เหมาะสมกับชนิดของดิน และรอก (Winch) สำหรับยกและปล่อยชุดกระแทกและหัวเจาะ รวมถึงระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักร การตรวจสอบความพร้อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดก่อนเริ่มงานเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น
3. กระบวนการเจาะดินแบบแห้งโดยใช้ชุดกระแทกและหัวเจาะที่เหมาะสมกับสภาพดิน: วิธีการเจาะดินแบบแห้งด้วยเครื่องจักรสามขาอาศัยหลักการของการกระแทกซ้ำ ๆ เพื่อให้หัวเจาะค่อย ๆ เจาะลึกลงไปในดิน โดยชุดกระแทกจะถูกยกขึ้นด้วยรอก แล้วปล่อยลงมากระแทกที่ก้านหัวเจาะ แรงกระแทกนี้จะทำให้หัวเจาะบิ่นและขุดดินขึ้นมา หัวเจาะที่ใช้มีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของดินที่ทำการเจาะ เช่น หัวเจาะรูปสิ่ว (Chisel) เหมาะสำหรับดินเหนียวแข็งหรือดินปนกรวด หัวเจาะแบบใบพัด (Auger) เหมาะสำหรับดินอ่อนหรือดินทราย ในระหว่างการเจาะ ผู้ควบคุมเครื่องจักรจะต้องสังเกตลักษณะของดินที่ถูกขุดขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนหัวเจาะหรือวิธีการกระแทกให้เหมาะสมกับสภาพดินที่เปลี่ยนแปลงไป การเจาะแบบแห้งนี้ไม่มีการใช้น้ำหรือสารละลายใด ๆ ช่วยในการรักษาเสถียรภาพของหลุมเจาะ ดังนั้น สภาพดินในพื้นที่จึงมีผลต่อความลึกและขนาดของเสาเข็มที่สามารถทำได้
4. การนำดินที่ถูกเจาะขึ้นมาออกจากหลุมอย่างต่อเนื่อง: ในขณะที่หัวเจาะทำการกระแทกและขุดดินลงไป ดินที่ถูกขุดขึ้นมาจะสะสมอยู่ในหลุมเจาะ หากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้ประสิทธิภาพในการเจาะลดลง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการนำดินที่ถูกเจาะขึ้นมาออกจากหลุมอย่างต่อเนื่อง โดยอาจใช้กระบวยตักดิน (Bailing Bucket) หรือวิธีการอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับลักษณะของดินและความลึกของหลุม การนำดินขึ้นมาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้การเจาะดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาความสะอาดของหลุมเจาะ
5. การตรวจสอบความลึกและสภาพดินเป็นระยะระหว่างการเจาะ: ในระหว่างกระบวนการเจาะ ผู้ควบคุมงานจะต้องทำการตรวจสอบความลึกของหลุมเจาะเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่าการเจาะเป็นไปตามความลึกที่กำหนดในแบบก่อสร้าง นอกจากนี้ การสังเกตลักษณะของดินที่ถูกขุดขึ้นมายังเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินสภาพดินในแต่ละชั้น ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับผลการสำรวจดิน (Soil Investigation Report) เพื่อยืนยันว่าการเจาะได้ดำเนินไปถึงชั้นดินที่มีความสามารถในการรับน้ำหนักตามที่ออกแบบไว้ หากพบความผิดปกติของชั้นดิน อาจจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการเจาะหรือปรึกษาวิศวกรโครงสร้างเพื่อหาแนวทางแก้ไข
6. การใส่ปลอกเหล็กชั่วคราว (Temporary Casing) เพื่อป้องกันการพังทลายของดินในกรณีที่ดินอ่อน: ในกรณีที่สภาพดินในชั้นดินตอนบนมีความอ่อนตัวมาก หรือมีโอกาสเกิดการพังทลายของดินลงในหลุมเจาะ อาจจำเป็นต้องมีการติดตั้งปลอกเหล็กชั่วคราว (Temporary Casing) ลงในหลุมเจาะ ปลอกเหล็กนี้จะช่วยพยุงผนังดินไม่ให้พังทลายในระหว่างการเจาะและการใส่เหล็กเสริม โดยปลอกเหล็กอาจถูกตอกหรือกดลงไปในดิน เมื่อการเจาะถึงชั้นดินที่มั่นคง หรือหลังจากเทคอนกรีตได้ระดับหนึ่งแล้ว ปลอกเหล็กชั่วคราวนี้ก็จะถูกถอนออก
7. การประกอบและติดตั้งโครงเหล็กเสริม (Reinforcement Cage) ภายในหลุมเจาะ: เมื่อการเจาะถึงความลึกที่ต้องการและหลุมเจาะได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำโครงเหล็กเสริม (Reinforcement Cage) ที่ได้ประกอบตามแบบโครงสร้างมาติดตั้งลงในหลุมเจาะ โครงเหล็กนี้มีหน้าที่รับแรงดึงและเพิ่มความแข็งแรงให้กับเสาเข็ม การติดตั้งโครงเหล็กจะต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยให้ได้ตำแหน่งที่ถูกต้องตามที่กำหนด ทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ รวมถึงระยะหุ้มคอนกรีต (Concrete Cover) ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการกัดกร่อนของเหล็กเสริมและให้การยึดเกาะระหว่างเหล็กและคอนกรีตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่เสาเข็มมีความยาวมาก โครงเหล็กอาจถูกแบ่งเป็นท่อน ๆ แล้วนำมาเชื่อมต่อกันภายในหลุมเจาะ
8. การเทคอนกรีตลงในหลุมเจาะแบบแห้งอย่างต่อเนื่อง: หลังจากติดตั้งโครงเหล็กเสริมเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อมาคือการเทคอนกรีตลงในหลุมเจาะแบบแห้ง การเทคอนกรีตจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดรอยต่อเย็น (Cold Joint) ซึ่งอาจเป็นจุดอ่อนในเสาเข็ม โดยทั่วไปแล้ว การเทคอนกรีตสำหรับเสาเข็มเจาะแห้งมักจะทำโดยการเทจากปากหลุมโดยตรง เนื่องจากไม่มีน้ำหรือสารละลาย Bentonite ภายในหลุม อย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติงานจะต้องระมัดระวังในการเท เพื่อไม่ให้เกิดการแยกตัวของคอนกรีต (Segregation) และควรมีการใช้เครื่องสั่นคอนกรีตแบบจุ่ม (Poker Vibrator) เพื่อช่วยไล่ฟองอากาศและทำให้คอนกรีตไหลตัวได้ดี เติมเต็มทุกช่องว่างในหลุมเจาะและรอบโครงเหล็กเสริม
9. การถอนปลอกเหล็กชั่วคราว (Temporary Casing) อย่างช้า ๆ ในขณะที่คอนกรีตยังไม่แข็งตัว (ถ้ามี): ในกรณีที่มีการใช้ปลอกเหล็กชั่วคราวเพื่อช่วยพยุงดิน เมื่อเทคอนกรีตได้ระดับหนึ่งแล้ว จะต้องทำการถอนปลอกเหล็กนี้ออกอย่างช้า ๆ และต่อเนื่องในขณะที่คอนกรีตยังมีความเหลวอยู่ การถอนปลอกเหล็กต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดการดึงรั้งคอนกรีตที่ยังไม่แข็งตัว หรือทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคอนกรีตกับดินรอบข้าง ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการรับน้ำหนักของเสาเข็ม
10. การบ่มคอนกรีตเพื่อให้เสาเข็มพัฒนาความแข็งแรงตามที่ออกแบบไว้และการตรวจสอบคุณภาพ: หลังจากเทคอนกรีตเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการบ่มคอนกรีต (Curing) ซึ่งเป็นกระบวนการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นของคอนกรีตในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อให้คอนกรีตเกิดปฏิกิริยาไฮเดรชันอย่างสมบูรณ์และพัฒนาความแข็งแรงตามที่ออกแบบไว้ การบ่มคอนกรีตสำหรับเสาเข็มเจาะอาจทำได้โดยการคลุมปากเสาเข็มด้วยวัสดุปิดคลุม หรือการรดน้ำเป็นระยะเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบคุณภาพของเสาเข็มที่ทำเสร็จแล้ว เช่น การตรวจสอบขนาด ความลึก และตำแหน่ง เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามแบบก่อสร้าง และอาจมีการทดสอบการรับน้ำหนักของเสาเข็ม (Pile Load Test) ในบางกรณี เพื่อยืนยันความสามารถในการรับน้ำหนักจริงของเสาเข็ม

                       หวังว่าคำอธิบายขั้นตอนการทำเสาเข็มเจาะแห้งโดยใช้เครื่องจักรสามขาทั้ง 10 ข้อนี้ จะช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการทั้งหมดได้อย่างละเอียดและครบถ้วน   หากมีคำถามเพิ่มเติมหรือต้องการข้อมูลในส่วนใดเพิ่มเติม ถามได้เลยนะครับ ยินดีให้ข้อมูลเสมอครับ