เนื่องจากปัจจุบันมาตรฐานของการผลิต เสาเข็มเจาะ แต่ละที่มีไม่เท่ากันจึงต้องมีการทดสอบ เสาเข็มเจาะ เพราะมีการแข่งขันด้านราคากันสูง บางเจ้าก็มีการโกงความลึก โกงวัสดุ โกงเหล็ก โกงปูน เพื่อให้ไม่ขาดทุน บางเจ้าไม่มีประสบการณ์ก็เข้ามาผลิตเสาเข็มเจาะก็มีและลูกค้าก็มักจะเลือกใช้เจ้าที่มีราคาถูกที่สุด โดยที่ไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องคุณภาพมากนัก ทำให้มาตรฐานเสาเข็มเจาะมีต่ำลง เอาที่อยู่ปลอมๆมาใส่ โดยไม่รู้ว่าบ้านใครก็มี เพราะไม่มีการตรวจสอบและรับรองความเป็นจริง โดยหน่วยงานราชการ หรือสำนักงานเขต
พวกบุคคลเหล่านี้ก็เข้ามาเสนอราคา เสาเข็มเจาะ ได้ เพราะบุคคลเหล่านี้ ไม่มีต้นทุนการค้าอยู่เลย ไม่ต้องจดทะเบียน บริษัท/ห้างหุ้นส่วน ไม่ต้องเสียภาษีเพื่อส่วนรวม ไม่ต้องจ้างบริษัททำบัญชีส่งภาษีรายเดือน ไม่ต้องจ่างพนักงาน แทบที่จะไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรเลย ยกเว้นค่าใช้จ่ายส่วนตัว หรือค่าบริการมือถือเท่านั้น
พอมีปัญหา อาคารทรุด อาคารร้าว อาคารถล่ม บุคคลเหล่านี้ก็พร้อมจะดำดิน หนีหายไปได้อย่างง่ายดาย โดยที่ยากจะตามตัวได้เจอ พวกเราเลยมักจะได้ยินข่าว อาคารทรุด อาคารร้าว หรือหนักที่สุดอาคารถล่ม มาเข้าหูเราบ่อยๆอยู่ตลอดเวลาแทบจะทุกปีเลยก็ว่าได้ และคนที่เสียหายมากที่สุดก็คือเจ้าของอาคาร และวิศวกรที่เซ็นรับรอง
แล้วลูกค้าก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจในเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ทั้งที่บางงาน บุคคลเหล่านี้เสนอราคาถูกกว่าแค่ สอง-สามพันบาท ก็ตาม (ราวๆค่าข้าวที่พาครอบครัวไปนั่งกิน 1 มื้อเอง ปล.ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำ 350 บาท)
ดังนั้น ขบวนการตรวจสอบคุณภาพเสาเข็มเจาะ จึงเริ่มมีบทบาทมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก เพื่ออย่างน้อยก็มีระบบตรวจสอบคุณภาพเสาเข็มเจาะ และอย่างน้อยมีวิศวกรเซ็นรับรอง หากภายภาคหน้ามีปัญหาขึ้นมา ก็ยังมีคนเซ็นรับรอง รับผิดชอบคุณภาพนั้น ถึงแม้นว่าจะต้องแลกกับค่าใช้จ่ายบ้างก็ตาม
ที่นี่เรามาลองฟังดูว่า การทดสอบเสาเข็มเจาะนั้นมีอะไรบ้าง กี่ประเภท เพื่อเป็นประโยชน์ในอนาคตในภายหน้าไม่มากก็น้อยละครับ หรือย่างน้อยก็ศึกษาไว้แนะนำ ญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทมิตรสหาย ก็ยังดี

1.การทดสอบความสมบูรณ์เสาเข็ม ( Seismic Integrity Test )
การทดสอบประเภทนี้นั้น มีจุดประสงค์เพื่อประเมินสภาพความสมบูรณ์ตลอดความยาวของ เสาเข็มเจาะ ว่าเสาเข็มเจาะที่ทดสอบนั้น มีลักษณะกายภาพภายใต้ชั้นดินที่มองไม่เห็นนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร การทดสอบวิธีนี้เป็นการทดสอบที่สะดวก รวดเร็ว และเสียค่าใช้จ่ายต่ำ จึงเหมาะสมและเป็นที่นิยมแพร่หลายที่ใช้ตรวจสอบความสมบูรณ์ของ เสาเข็ม ในขั้นต้น
หากตรวจสอบพบสภาพบกพร่องที่เกิดขึ้น จึงกำหนดวิธีทดสอบอื่น ๆ ประกอบกับพิจารณาหรือดำเนินการซ่อมแซมแก้ไขต่อไป การทดสอบนี้สามารถดำเนินการได้ทั้งในเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงที่มีความลึกเพียงเสาต้นเดียวหรือไม่เกิน 14-15 เมตร และเสาเข็มเจาะหรือที่เรียกอีกอย่างว่าเสาเข็มหล่อกับที่ ผลการทดสอบนนี้จะระบุถึงข้อบกพร่องต่าง ๆ อาทิเช่น รอยแตกร้าว ( Crack ) โพรงหรือช่องว่าง ( Void ) รอยคอด ( Size reduction )หรือบวม( Size increase )
รวมถึงความลึกโดยประมาณ ของเสาเข็มเจาะเป็นต้น ซึ่งหากความลึกไม่ถึงตามตกลงกันไว้ คราวนี้จะได้เช็คบิลกันได้ถูก เพียงแต่ว่า ข้อเสียของระบบนี้ก็มี คือ จะสามารถทดสอบได้ต่อเมื่อคอนกรีตแข็งตัวแล้วเท่านั้น โดยทฤษฏี อาจจะต้องรอให้ถึง 14-15 วัน แต่ในทางปฏิบัติ จะทดสอบได้เมื่อคอนกรีตมีอายุถึง 7 วัน โดยอาจจะเพิ่มสเป็คคอนกรีต ให้แข็งขึ้นเพื่อย่นระยะเวลาก็ได้ เช่น ใช้สเป็คคอนกรีต 240 คิ้ว อาจจะเปลี่ยนเป็น คอนกรีต 320 คิ้วหรือ350 คิ้วเลยก็ได้ สำหรับโครงการที่ต้องการเร่งการตรวจสอบ

เครื่องมือทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็มนั้นเป็นเครื่องมือที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อการทดสอบดังกล่าว มีขนาดเล็ก , น้ำหนักเบา และมีประสิทธิภาพสูง เคลื่อนย้ายเคลื่อนตัวได้สะดวก ในบางรุ้น ใช้คู่กับสมาร์ทโฟน เลยก็มี ซึ่งจะประกอบด้วย
•ฆ้อนทดสอบ ( Hand-Held Hammer ) ไว้สำหรับทุบที่หัวเสาเข็มเพื่อให้เกิดคลื่นสัญญานลงไปที่ตัวเสาเข็ม
•เครื่อง Pile Integrity Tester รุ่น Collector ไว้สำหรับอ่านค่าคลื่นที่เคาะลงไปและสะท้อนกลับขึ้นมา ซึ่งเครื่องนี้ ต้องรับการตรวจสอบทุกปี เพื่อให้ได้มาตรฐาน บางแห่งต้องส่งไปตรวจสอบวัดค่ามาตรฐานที่สิงค์โปร์ก็มี เพื่อควบคุมคุณภาพ
•หัววัดสัญญาณคลื่นความเค้น ( Accelerometer Transducer ) มีลักษณะเป็นแท่ง ติดกับหัวเสาเข็มโดยส่วนใหญ่อาจใช้ดินน้ำมันมาช่วยเพื่อให้สะดวกในการติดตั้ง

วิธีการทดสอบ
การทดสอบเริ่มจากการติดตั้งหัววัดสัญญาณคลื่นความเค้น ( Acceleronmeter Transducer ) บนหัวเสาเข็มซึ่งต้องการทดสอบโดยหัวเสาเข็มที่ดี ควรจะอยู่ในสภาพที่สะอาด ไ ม่มีน้ำขังหรือมีเศษดินปกคลุมอยู่ จากนั้นเคาะหัวเสาเข็มดังกล่าวด้วยฆ้อนทดสอบ ( Hand-Held Hammer ) คลื่นความเค้นอัด ( Compression Stress wave ) ที่เกิดจากการเคาะดังกล่าวจะวิ่งผ่านลงไปในตัวเสาเข็ม
และจะสะท้อนกลับขึ้นมาเพื่อพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่หน้าตัด หรือพบการเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของเนื้อคอนกรีตหรือเมื่อพบปลายเสาเข็ม คลื่นความ เค้นที่สะท้อนกลับขึ้นมา ณ จุดต่าง ๆ ดังกล่าวจะถูกตรวจจับด้วยหัววัดสัญญาณข้างต้น
และถูกส่งไปยังเครื่อง Pile Integrity Tester (PIT) เพื่อเปลี่ยนค่าคลื่นสัญญาณความเร่ง ( Acceleration Signal ) เป็นคลื่นสัญญาณความเร็ว ( Velocity Signal ) ก่อนแสดงผลที่หน้าจอทดสอบและ บันทึกไว้ ในหน่วยความจำของเครื่องทดสอบดังกล่าว เพื่อนำไปวิเคราะห์ผลในรายละเอียดต่อไป โดยผลการทดสอบดังกล่าว จะนำไปให้วิศวกรผู้ชำนาญการ เป็นผู้ประเมินเสาเข็มดังกล่าวว่าสมบูรณ์ดีหรือไม่ ก่อนจะลงมือดำเนินการทำงานในขั้นตอนต่อไป หรือเพื่อให้วิศวกรเซ็นรับรองคุณภาพเสาเข็มนั้นด้วย
ข้อดีของวิธีนี้คือ สะดวกรวดเร็ว ราคาถูกมาก แต่ข้อเสียคือ ไม่สามารถบอกว่าเสาเข็มต้นนี้รับน้ำหนักได้เท่าไร ต้องอาศัยผลเจาะสำรวจชั้นดิน หรือ การทดสอบการรับน้ำหนักควบคู่กันไปด้วย


2.Dynamic Load Test
การทดสอบ Dynamic Load Test โดยทั่วไปจะใช้รถเครนหรือเครื่องมือ 3 ขาของตัวเสาเข็มเจาะเอง ยกลูกตุ้มน้ำหนักที่มีน้ำหนักมาก ขึ้นในระัยะที่คำนวณไว้แล้ว ปล่อยกระแทกที่หัวเสาเข็ม เพื่อทำให้เกิดคลื่นความเค้น (Stress Wave) ลงไปตลอดตัวเสาเข็มและสะท้อนกลับขึ้นมา ซึ่งค่าดังกล่าวจะถูกบันทึกโดยตัว Transducers ประกอบด้วย Strain Gauges และ Accelerometer ที่ติดใกล้กับหัวเสาเข็ม สัญญาณที่ได้จะนำไป วิเคราะห์หากำลังการรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็ม โดยการทดสอบวิธีนี้ เป็นการทดสอบที่มี ค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร ก่อนตัดสินใจจะทดสอบ จึงควรจะปรึกษาวิศวกรก่อน ว่ามีความจำเป็นหรือไม่
ในการทำการทดสอบด้วยวิธีการนี้ และก่อนทำการทดสอบเสาเข็มด้วยวิธีนี้ควรจะต้องเตรียมหัวเสาเข็มก่อน ซึ่งอาจจะตัดหัวเสาเข็ม แล้วเสริมเหล็กเสริมคอนกรีต นอนซิ้ง เพื่อเตรียมหัวเสาเข็มให้สามารถรับแรงกระแทกได้สูงโดยไม่แตกร้าว และโดยส่วนมากการทดสอบวิธีนี้ จะกระทำได้อย่างรวดเร็ว ภายในราว 3-4 ชม ในต้นแรก และอีก 1-2 ชม ในต้นถัดไป การทดสอบนี้ส่วนมากจะกระทำกับหน่วยงานเอกชนที่ต้องการความรวดเร็วและค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าอีกวิธี และหลังจากทดสอบเสาเข็มต้นนี้แล้ว ยังสามารถนำมาใช้งานได้ตามปกติ ข้อดีของวิธีนี้คือ ทำได้สะดวกรวดเร็ว ผลทดสอบที่ได้อยู่ในเกณฑ์เชื่อถือได้ ราวมากกว่า 90-95% รวมถึงราคาค่าทดสอบนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงมากนัก

3.Static load Test วิธีการทดสอบนี้ทั่วไปมี 2 วิธีคือ
3.1. Static load Test แบบเสาเข็มสมอ
แบบเสาเข็มสมอคือการทดสอบเสาเข็มที่ตอกเสาเข็มเป็นสมอยึดคานรับแม่แรง (Hydroulic Jack) โดยส่วนใหญ่จะใช้เสาเข็มสมอที่จำนวน 4 ต้น โดยอาศัยแรงฝืดของดินเป็นตัวต้านแรงถอนตัวจากแรงที่กดลงเสาเข็มทดสอบ การตอกเข็มสมอลงบนดินควรตอกในชั้นดินเหนียวดานเนื่องจาก จะมีความฝืดมากกว่าดินประเภทอื่นๆ ส่วนใหญ่จะทำการทดสอบในเสาเข็มกลุ่ม 5 ต้นหรือกลุ่ม 6 ต้น โดยใช้เสาสมอจำนวน 4 ต้น และเสาเข็มที่จะทำการทดสอบคือเสาเข็มที่อยู่ตรงกลางของเสาสมอ หน่วยงานราชการบางที่ อาจใช้ เสาเข็ม 2 กลุ่ม มาเป็นเสาสมอในการทดสอบเลยก็ได้ และโดยส่วนมากในหน่วยงานราชการมักใช้วิธีนี้ และเสาเข็มที่ใช้ในการทดสอบแล้ว(เสาตรงกลางที่ไม่ใช่เสาสมอ) บางที่ไม่อนุญาติให้นำมาใช้งานเลยก็มี
3.2. Static load Test แบบวัสดุถ่วง
แบบวัสดุถ่วง การทดสอบของระบบนี้ จะใช้ในกรณีที่เสาเข็มสมอใช้การไม่ได้เนื่องจากชั้นดินที่ทำการตอกเข็มสมอมีแรงฝืดไม่เพียงพอที่จะรับแรงถอนของแม่แรง(Hydroulic Jack) ดังนั้นของต้องมาใช้วิธีนี้ หลักการของ Static load Test แบบวัสดุถ่วง คือวางวัสดุหนัก ๆ ลงบนคานรับนำหนักโดยใต้คานนั้นจะมีหมอนรองรับน้ำหนักกันการโยกของคาน หรืออาจจะพูดง่ายๆว่า เอาน้ำหนักจริงมาทับเสาเข็มนั้นๆเลย เช่นถ้าต้องการทดสอบ น้ำหนักปลอดภัยที่ 50 ตัน ค่าความปลอดภัยที่ 2.5เท่า รวม 125ตัน ก็ต้องหาน้ำหนักมาทับหัวเสาเข็มและรวมคานรับน้ำหนักแล้ว มีค่าราว 125 ตัน เป็นต้น ซึ่งอาจใช้เหล็กข้ออ้อยในโครงการ หรือเสาเข็มปั้นจั่น หรือก้อนปูน มาทำเป็นน้ำหนักก็ได้
จากนั้นก็ติดตั้งแม่แรง (Hydroulic Jack) ลงทดสอบเสาเข็มนั้นจะมีความแม่นยำสูงเนื่องจากใช้ระยะเวลาการทดสอบมากกว่าการทดสอบวิธีอื่น ๆ การ เก็บค่าของการยุบตัวเมื่อเพิ่มหรือลด อย่างละเอียด เช่นการทดสอบเสาเข็มต้นหนึ่งโดยการทดสอบนั้น จะต้องเพิ่มน้ำหนักเป็นขั้น ๆดังนี้ 20% , 50% , 75% และ 100% ในแต่ละขั้นของน้ำหนักที่เพิ่มให้ใช้อัตราการเพิ่มประมาณ 1 มิลลิเมตรต่อนาที อ่านค่าทรุดตัวของเข็มที่ 1, 2, 4, 8, 15, 30, 60, 90, 120, 180, 240 นาทีและ ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ความละเอียดในการอ่านจะต้องมีความละเอียดถึง 0.02 มิลลิเมตร(ส่วนมากนิยมใช้ นาฬิกาวัดการเคลื่อนที่ (Dial gage) อย่างน้อย 2ตัวในการอ่านค่าหรือใช้กล้องระดับที่สามารถอ่านได้ละเอียด 1.00 มิลลิเมตร) การเพิ่มน้ำหนัก แต่ละขั้นจะกระทำได้ก็ต่อเมื่ออัตราการทรุดตัวลดลงถึง 0.30 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ต้องมีเวลาของการบรรทุกน้ำหนักชั้นนั้นๆไม่น้อยกว่า 60 นาที เมื่อเพิ่มน้ำหนักทดสอบถึง 100% จะต้องรักษานำหนักที่บรรทุกไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 24 ชั่งโมงจากนั้นก็ลดน้อยหนักทุกๆชั่งโมง เป็นขั้นๆ ดังนี้ 40% , 25% , 0% โดยบันทึกค่าคืนตัวของเข็มที่เวลา 1, 2, 4, 8, 15, 30, 45, 60 นาที และที่นำหนัก 0% ให้บันทึกต่อไปทุก ๆ ชั่วโมง จนกระทั่งค่าของการคืนตัวคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น
ข้อดีของวิธีนี้คือจะทราบผลการทดสอบได้ 100% เพราะการทดสอบในทุกขั้นตอนทำด้วยความละเอียด แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือ ราคาค่าทดสอบมีราคาสูงที่สุด ใช้ระยะเวลานานที่สุด และจำเป็นที่ต้องทดสอบเสาเข็มที่มีอายุคอนกรีตที่ 28-30 วันเท่านั้น เพราะคอนกรีตต้องมีความแข็ง 100% ตลอดจนถ้าใช้เสาสมอในการทดสอบ ก็จำเป็นต้องรอเสาเข็มสมอ เกิดแรงฝืดกับชั้นดินร่วมด้วย
โดยส่วนตัวเคยมีลูกค้าที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เคยทดสอบเสาเข็มเจาะขนาด 50 ซม ลึก21 เมตร ที่อายุ 15 วันแล้วผลทดสอบไม่ได้ตามรายการคำนวณ จึงต้องรอให้ครบอายุที่ 28 วันแล้วมาทดสอบเสาเข็มต้นเก่าอีกครั้ง ผลปรากฏว่า เสาเข็มต้นนั้นรับน้ำหนักได้ที่ 50 ตัน ตามรายการคำนวณพอดี คราวนี้คงจะทราบข้อมุลของการทดสอบเสาเข็มเจาะความสมบูรณ์ของเสาเข็มทั้ง 2 แบบไม่มากก็น้อยแล้วนะครับ
บริษัท ทียู อัมรินทร์ จำกัด
มือถือ 084-642-4635 093-789-2626
อีเมล์ tuamarin@hotmail.com
เฟสบุค www.facebook.com/tua635



บริการ เสาเข็มเจาะ กรุงเทพมหานคร กระบี่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครพนม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ ภูเก็ต มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ร้อยเอ็ด ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี โคราช หาดใหญ่ ภาค เหนือ กลาง ใต้ ตะวันออก ตะวันตก อีสาน
0 Comments