บทนำ
ในระบบโครงสร้างของงานก่อสร้างทุกประเภท “ฐานราก” (Foundation) ถือเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นตัวกลางในการถ่ายแรงจากโครงสร้างทั้งหมดลงสู่ชั้นดิน หากฐานรากไม่มั่นคง โครงสร้างทั้งหมดก็อาจพังทลายได้ การเลือกชนิดของเสาเข็มเจาะให้เหมาะสมกับลักษณะงานก่อสร้างและสภาพภูมิประเทศ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
หนึ่งในเทคโนโลยีฐานรากที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันคือ “เสาเข็มเจาะ” (Bored Pile) โดยเฉพาะในเขตเมืองหรือพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านเสียงและแรงสั่นสะเทือน บทความนี้จะเจาะลึกถึงลักษณะงานก่อสร้างประเภทต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับการใช้เสาเข็มเจาะ พร้อมวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ปัจจัยที่ควรคำนึงถึง และกรณีศึกษาจากโครงการจริง
เสาเข็มเจาะคืออะไร?
เสาเข็มเจาะ คือ เสาเข็มที่ก่อขึ้นในสถานที่จริง (In-situ) โดยการเจาะหลุมลงไปในชั้นดินจนถึงระดับที่ต้องการ แล้วจึงเทคอนกรีตลงไปในหลุมนั้น โดยมักมีการเสริมเหล็กเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ความแตกต่างที่ชัดเจนของเสาเข็มเจาะกับเสาเข็มตอกคือ การติดตั้ง ที่ไม่ใช้แรงกระแทก ทำให้เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและโครงสร้างข้างเคียง
ประเภทของเสาเข็มเจาะ
- เสาเข็มเจาะแห้ง (Dry Process)
- เหมาะกับดินที่มีเสถียรภาพดี ไม่มีน้ำใต้ดินมาก
- ใช้วิธีเจาะหลุม แล้วเทคอนกรีตโดยไม่ต้องใช้สารละลายช่วยพยุงผนังหลุม
- เสาเข็มเจาะเปียก (Wet Process)
- เหมาะกับพื้นที่ที่มีน้ำใต้ดินสูง หรือดินอ่อน
- ใช้สารละลายเบนโทไนต์ หรือโพลิเมอร์ เพื่อป้องกันผนังหลุมพังขณะเจาะ
- เสาเข็มเจาะระบบเคสซิ่ง (Casing)
- ใช้ปลอกเหล็กชั่วคราวเพื่อค้ำผนังหลุมขณะเจาะ
- มักใช้ในบริเวณที่ชั้นดินไม่มั่นคง หรือไม่สามารถควบคุมหลุมเจาะได้
ข้อดีของเสาเข็มเจาะ
- ลดแรงสั่นสะเทือน: เหมาะกับพื้นที่ใกล้อาคารเก่า หรือโครงสร้างที่เปราะบาง
- ลดเสียงรบกวน: เป็นตัวเลือกยอดนิยมในเขตเมืองที่มีข้อจำกัดด้านเสียง
- สามารถควบคุมความลึกและเส้นผ่านศูนย์กลางได้: รองรับน้ำหนักมากกว่าเสาเข็มตอกในบางกรณี
- ทำงานในพื้นที่จำกัดได้ดี: เช่น ภายในอาคาร หรือพื้นที่ระหว่างอาคาร
- ความสามารถในการรับน้ำหนักสูง: เหมาะกับงานโครงสร้างขนาดใหญ่
ข้อจำกัดของเสาเข็มเจาะ
- ต้นทุนสูงกว่าการตอกเสาเข็ม
- ต้องใช้เวลามากกว่า
- คุณภาพขึ้นอยู่กับกระบวนการควบคุมหน้างาน
เช่น การควบคุมระดับน้ำใต้ดิน ความต่อเนื่องของคอนกรีต เป็นต้น - เสี่ยงต่อการพังทลายของผนังหลุมหากควบคุมไม่ดี
เสาเข็มเจาะเหมาะกับงานก่อสร้างประเภทใด?
1. อาคารสูงในพื้นที่ชุมชนเมือง
หนึ่งในงานที่ใช้เสาเข็มเจาะอย่างแพร่หลายคือ “อาคารสูง” ที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง เช่น คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน หรือโรงแรมหรู
เหตุผลที่เสาเข็มเจาะเหมาะกับงานนี้
- อาคารสูงมีน้ำหนักมาก ต้องการเสาเข็มที่สามารถรับแรงกดและแรงดึงสูง
- มักอยู่ในย่านที่มีอาคารข้างเคียงหนาแน่น การตอกเสาเข็มอาจกระทบโครงสร้างเก่า
- ลดเสียงรบกวนที่อาจเป็นปัญหาในการพัฒนาโครงการ
ตัวอย่างโครงการ
- คอนโดมิเนียม 40 ชั้นบนถนนรัชดาภิเษก
- อาคารสำนักงาน AIA Sathorn Tower
2. โรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่ราชการ
งานก่อสร้างในบริเวณที่มีข้อจำกัดด้านเสียงและสั่นสะเทือน เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน หรือสถานที่ราชการกลางเมือง จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมต่ำ
ข้อดีของเสาเข็มเจาะในกรณีนี้
- ไม่รบกวนผู้ใช้อาคารเดิม
- ทำงานได้แม้ในช่วงเวลาจำกัด
- เหมาะกับการต่อเติมอาคารโดยไม่รบกวนโครงสร้างเดิม
ตัวอย่างโครงการ
- อาคารผู้ป่วยในใหม่ โรงพยาบาลศิริราช
- อาคารเรียนพิเศษ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
3. อาคารใกล้อาคารประวัติศาสตร์หรืออาคารเก่า
ในเขตที่มีอาคารเก่าหรือโบราณสถานที่ต้องการการอนุรักษ์ เสาเข็มเจาะช่วยป้องกันการรบกวนโครงสร้างอาคารเดิม
จุดเด่น
- ลดโอกาสแตกร้าวของผนังอาคารข้างเคียง
- ควบคุมการทรุดตัวได้ดี
- สามารถกำหนดตำแหน่งเจาะได้อย่างแม่นยำ
ตัวอย่างโครงการ
- โครงการรีโนเวทตึกแถวเก่าในเยาวราช
- การปรับปรุงพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ
4. งานก่อสร้างที่มีชั้นใต้ดินลึก (Basement)
อาคารที่มีชั้นใต้ดิน 2-3 ชั้น หรือมากกว่านั้น เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรืออาคารจอดรถ ต้องการระบบกันดินที่แข็งแรง เสาเข็มเจาะสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบกันดิน เช่น Diaphragm Wall หรือ Secant Pile ได้
ข้อดีของการใช้เสาเข็มเจาะ
- เป็นทั้งระบบกันดินและระบบฐานรากในตัว
- ทำงานได้ในพื้นที่แคบโดยไม่ต้องขุดดินกว้าง
- รับแรงดันดินและแรงดันน้ำได้ดี
ตัวอย่างโครงการ
- อาคารจอดรถใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าว
- ห้างสรรพสินค้า ICONSIAM
5. โครงการสะพานและโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
สะพาน ทางด่วน อุโมงค์ หรือโครงสร้างขนาดใหญ่ที่รับน้ำหนักมากมักต้องการเสาเข็มที่รับแรงได้สูง เสาเข็มเจาะจึงเป็นตัวเลือกหลัก
ข้อดี
- เสาเข็มขนาดใหญ่ (Ø1.2–1.5 เมตร) รับน้ำหนักได้หลายพันตัน
- เจาะทะลุผ่านชั้นดินอ่อนถึงชั้นดินแข็งลึก ๆ ได้
- ใช้เป็นเสาเข็มฐานรากของเสาสะพานหรือกำแพงกันดินได้
ตัวอย่างโครงการ
- สะพานพระราม 8
- โครงการทางด่วนพระราม 3–ดาวคะนอง
6. โรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าขนาดใหญ่
โรงงานที่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่ หรือคลังสินค้าที่ต้องการรับน้ำหนักแบบจุด (Point Load) จำนวนมาก จำเป็นต้องใช้เสาเข็มที่แข็งแรงและสามารถกระจายน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่นของเสาเข็มเจาะ
- รับแรงแบบกระจุกตัวได้ดี
- เสาเข็มขนาดใหญ่สามารถติดตั้งใต้ฐานเครื่องจักรโดยตรง
- ทำให้โครงสร้างแข็งแรงและทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนจากการทำงาน
ตัวอย่างโครงการ
- โรงงานประกอบรถยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน
- คลังสินค้าโลจิสติกส์ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง
7. งานก่อสร้างในพื้นที่น้ำใต้ดินสูงหรือดินอ่อน
พื้นที่ริมแม่น้ำ ชายฝั่งทะเล หรือบริเวณที่ดินมีความชื้นสูง มักไม่สามารถใช้เสาเข็มตอกได้ เนื่องจากดินจะเคลื่อนตัวได้ง่าย เสาเข็มเจาะแบบเปียกจะช่วยจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ดี
ลักษณะเด่น
- ใช้สารละลายเบนโทไนต์ในการพยุงผนังหลุม
- สามารถควบคุมการเจาะในชั้นดินอ่อนอย่างแม่นยำ
- ลดโอกาสการทรุดตัวของอาคาร
ตัวอย่างโครงการ
- โรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยา
- อาคารสำนักงานในพื้นที่บางนา–ตราด
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกใช้เสาเข็มเจาะ
- ชนิดของชั้นดิน: ต้องมีการสำรวจดิน (Soil Investigation) เพื่อระบุความสามารถในการรับน้ำหนัก
- ข้อจำกัดของพื้นที่: หากพื้นที่จำกัด เสาเข็มเจาะจะมีข้อได้เปรียบกว่า
- งบประมาณโครงการ: เสาเข็มเจาะมีต้นทุนสูงกว่า แต่ก็ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าในหลายกรณี
- ผลกระทบต่ออาคารข้างเคียง: เสาเข็มเจาะช่วยลดความเสี่ยงจากแรงสั่นสะเทือน
- ความสามารถของผู้รับเหมาและเครื่องจักร: ต้องใช้เครื่องเจาะเฉพาะทาง และวิศวกรที่มีประสบการณ์
สรุป
เสาเข็มเจาะเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับงานก่อสร้างที่ต้องการความมั่นคงสูงและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ เหมาะกับงานก่อสร้างที่มีลักษณะเฉพาะหลายประเภท เช่น อาคารสูงในเมือง อาคารใกล้สิ่งปลูกสร้างเดิม งานที่มีชั้นใต้ดิน งานโครงสร้างขนาดใหญ่ หรือพื้นที่ที่มีดินอ่อน การเลือกใช้เสาเข็มเจาะจะช่วยยืดอายุโครงสร้าง เพิ่มความปลอดภัย และเสริมความน่าเชื่อถือให้กับโครงการอย่างยั่งยืน

0 Comments